โบสถ์หรืออุโบสถเป็นสถานที่สำคัญทางศาสนา ที่มักมีอายุการใช้งานยาวนานหลายสิบปี เมื่อเวลาผ่านไป โครงสร้างอาคารอาจเกิดการ “ทรุดตัว” จากหลายปัจจัย เช่น สภาพดินอ่อน น้ำใต้ดินที่ไหลเวียน การก่อสร้างโดยไม่ได้เสริมเข็มลึก หรือแรงสั่นสะเทือนจากถนนและอาคารข้างเคียง ซึ่งหากปล่อยไว้นานโดยไม่ซ่อมแซม อาจส่งผลให้ผนังแตกร้าว เสาเอียง หลังคาแอ่น และเกิดความเสียหายต่อโครงสร้างหลักของโบสถ์อย่างรุนแรง
การ ซ่อมโบสถ์ทรุด จึงจำเป็นต้องอาศัยทีมช่างผู้เชี่ยวชาญด้านโครงสร้างโดยเฉพาะ เนื่องจากอาคารประเภทนี้มักมีความละเอียดอ่อน ทั้งด้านสถาปัตยกรรม ศิลปะไทย และโบราณสถานที่ต้องอนุรักษ์ การซ่อมแบบทั่วไปอาจไม่เพียงพอ หรืออาจทำให้เกิดความเสียหายเพิ่มขึ้นได้
สภาพดินอ่อนและการทรุดตัวของฐานราก
ดินในบางพื้นที่ โดยเฉพาะในภาคกลาง มักมีลักษณะเป็นดินเหนียวอัดแน่นต่ำ ทำให้รับน้ำหนักไม่ดี ส่งผลให้โครงสร้างทรุดตัวไม่เท่ากัน
น้ำกัดเซาะหรือระดับน้ำใต้ดินเปลี่ยนแปลง
เมื่อระดับน้ำใต้ดินลดลง ดินจะยุบตัว ส่งผลให้ฐานรากของโบสถ์เคลื่อนตัวหรือเอียง
ไม่มีการเสริมเข็มหรือฐานรากที่แข็งแรงเพียงพอ
โบสถ์เก่าหลายแห่งสร้างโดยใช้เสาไม้หรือเสาเข็มตื้น ซึ่งอาจไม่รองรับน้ำหนักได้ในระยะยาว
การซ่อมโบสถ์ทรุดนิยมใช้เทคโนโลยี ยกอาคารด้วยระบบไฮดรอลิก (Hydraulic Jack) หรือ เสริมฐานรากด้วยไมโครไพล์ (Micropile) ซึ่งเป็นวิธีที่ปลอดภัยและไม่กระทบกับโครงสร้างเดิม โดยจะทำการตรวจสอบระดับการทรุด วางแผนตำแหน่งเสาเข็มใหม่ และค่อยๆ ยกอาคารให้กลับสู่ระดับเดิมอย่างแม่นยำ พร้อมเสริมฐานรากให้มั่นคงกว่าเดิม
ขั้นตอนทั้งหมดควรอยู่ในการควบคุมของวิศวกรโยธาที่มีใบอนุญาต เพื่อรับรองความปลอดภัยของโครงสร้าง รวมถึงการอนุรักษ์ลวดลาย ปูนปั้น และจิตรกรรมฝาผนังของโบสถ์ให้คงสภาพเดิมมากที่สุด
โบสถ์ทรุดไม่ใช่เรื่องเล็ก การซ่อมแซมควรทำอย่างมืออาชีพเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นทั้งต่อทรัพย์สินและความปลอดภัยของผู้ใช้งาน หากพบว่าโบสถ์หรืออุโบสถเริ่มมีรอยร้าว พื้นเอียง หรือเสาเริ่มแยก ควรรีบปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้าน ซ่อมโบสถ์ทรุด ทันที เพื่อประเมินและแก้ไขปัญหาอย่างถูกวิธี ให้โบสถ์กลับมามั่นคงและงดงามเหมือนเดิม https://shorturl.asia/eWXbU
ซ่อมตอม่อ